อาหารไฟน์ไดนิ่งแบบไทย – เมื่อความประณีตของอาหารไทยถูกยกระดับที่ Royal Osha

“อาหารไทย” เป็นหนึ่งในมรดกทางวัฒนธรรมของประเทศไทยที่ได้รับการยกย่องจากทั่วโลก เพราะอาหารไทยนั้นไม่เพียงแค่มีรสชาติที่เข้มข้น จัดจ้าน และกลมกล่อมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงภูมิปัญญา วิถีชีวิต และความใส่ใจในรายละเอียดของคนไทยในทุกขั้นตอนการปรุงอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการเลือกสรรวัตถุดิบ การปรุงรสอย่างพิถีพิถัน ไปจนถึงการจัดจานอย่างมีศิลปะ ทำให้อาหารไทยมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร และเมื่อโลกของการรับประทานอาหารได้พัฒนา และยกระดับเข้าสู่การรับประทานในสไตล์ “ไฟน์ไดนิ่ง” ซึ่งอาหารไฟน์ไดนิ่ง คือ การรับประทานอาหารแบบหรูหราที่เน้นประสบการณ์รอบด้าน ทำให้อาหารไทยก็ได้ถูกนำมาตีความใหม่ในรูปแบบที่ยังคงรากเหง้าความเป็นไทย แต่เพิ่มเติมด้วยการจัดวางอย่างงดงาม เทคนิคการปรุงสมัยใหม่ และบรรยากาศการรับประทานที่หรูหรา ทำให้เกิดการผสมผสานระหว่างศิลปะ และวัฒนธรรมอาหารอย่างลงตัว

โดยอาหารไฟน์ไดนิ่งแบบไทยไม่ได้เน้นเพียงแค่รสชาติเท่านั้น แต่ยังถ่ายทอดเรื่องราว ความหมาย และประสบการณ์ผ่านแต่ละจานอาหาร เช่น การเลือกเมนูจากตำนานพื้นบ้าน วัตถุดิบท้องถิ่นที่หายาก หรือการออกแบบจานให้สะท้อนวัฒนธรรมในแต่ละภูมิภาค ทั้งหมดนี้ช่วยให้ผู้รับประทานได้สัมผัสถึงความลึกซึ้งของอาหารไทยในมุมมองที่แตกต่างได้ และหนึ่งในร้านอาหารไทยไฟน์ไดนิ่งที่โดดเด่นในการนำนิยามของ “อาหารไฟน์ไดนิ่งแบบไทย” มาถ่ายทอดได้อย่างสมบูรณ์แบบ คือ Royal Osha ร้านอาหารระดับพรีเมียมที่ผสมผสานความหรูหรากับความละเมียดละไมของอาหารไทยไว้อย่างกลมกลืน ไม่เพียงแต่มอบรสชาติอาหารไทยได้อย่างแท้จริงเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับการเล่าเรื่องผ่านทุกองค์ประกอบของจานอาหาร ทำให้ที่นี่กลายเป็นจุดหมายปลายทางของผู้ที่ต้องการสัมผัสอาหารไทยในมิติที่เหนือระดับ ดังนั้น ในบทความนี้ก็จะพานักชิมทุกคนมาทำความรู้จักกับ Royal Osha กันว่าทำไมถึงเป็นร้านอาหารไทยไฟน์ไดนิ่งที่ผู้ที่ชื่นชอบอาหารไทยควรลิ้มลองให้ได้สักครั้ง

1. พบกับอาหารไฟน์ไดนิ่งแบบไทย ศิลปะในจานอาหารของ Royal Osha

Fine Dining Cuisine

สำหรับอาหารไทยนั้นเป็นหนึ่งในประเภทอาหารที่มีความหลากหลายมากที่สุดในโลก ทั้งในด้านวัตถุดิบ เทคนิคการปรุง และรสชาติที่ซับซ้อน จนสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นอาหารพื้นบ้าน อาหารชาววัง อาหารริมทาง หรืออาหารร่วมสมัย โดยแต่ละรูปแบบต่างสะท้อนเอกลักษณ์ของภูมิภาค วัฒนธรรม และยุคสมัยที่แตกต่างกันออกไป และในช่วงหลังมานี้ “อาหารไฟน์ไดนิ่งแบบไทย” ได้กลายเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของอาหารไทยที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มนักชิมที่ชื่นชอบการรับประทานอาหารแบบแปลกใหม่ หรือผู้ที่แสวงหาประสบการณ์ในการรับประทานอาหารที่เหนือกว่า เพราะว่าอาหารไฟน์ไดนิ่งแบบไทยไม่เพียงแต่ยกระดับวัตถุดิบธรรมดาให้กลายเป็นของล้ำค่า แต่ยังคงไว้ซึ่งรากเหง้าของอาหารไทยดั้งเดิม พร้อมทั้งนำเสนอผ่านการจัดวางที่วิจิตรสวยงาม เทคนิคการปรุงที่ทันสมัย และเรื่องราวเบื้องหลังที่ลึกซึ้งตามแบบฉบับของอาหารไทยดั้งเดิมอีกด้วย

โดยจุดเด่นของอาหารไฟน์ไดนิ่งแบบไทยอยู่ที่ “ความประณีตในทุกมิติ” ไม่ว่าจะเป็นรสชาติที่ยังคงความกลมกล่อมแบบไทยแท้ การนำเสนอที่วิจิตรบรรจงเหมือนงานศิลป์ ไปจนถึงการเล่าเรื่องของแต่ละเมนูที่สร้างอารมณ์ร่วมระหว่างผู้รับประทานกับอาหาร จึงไม่น่าแปลกใจที่อาหารไฟน์ไดนิ่งแบบไทยจะได้รับการยอมรับทั้งในระดับประเทศ และสากล และสามารถยืนหยัดท่ามกลางไฟน์ไดนิ่งแบบตะวันตกได้อย่างสง่างาม และอีกหนึ่งความพิเศษของอาหารไทยในสไตล์อาหารไฟน์ไดนิ่ง คือ “การตีความใหม่ที่เคารพต้นฉบับ” หมายความว่าแม้จะมีการใช้เทคนิคการปรุงอาหารระดับสูง หรือการตกแต่งจานอย่างร่วมสมัย แต่ยังคงยึดมั่นในรสชาติ วัตถุดิบ และความเป็นไทยไว้ทุกประการ จึงทำให้เป็นความสมดุลที่หาได้ยากในโลกของอาหารที่มีความหรูหรา

และในบรรดาร้านอาหารไทยไฟน์ไดนิ่งแบบไทยทั้งหมดนั้น “Royal Osha” ถือเป็นหนึ่งในร้านอาหารที่น่าจับตามอง ด้วยการรังสรรค์เมนูที่ไม่เพียงแค่แสดงออกถึงความสามารถของเชฟ แต่ยังสะท้อนความลึกซึ้งของวัฒนธรรมไทยได้อย่างมีชั้นเชิง และที่นี่ไม่ได้มุ่งเพียงแค่ความอร่อยเท่านั้น แต่ต้องการให้ทุกจานอาหารกลายเป็น “ประสบการณ์” ที่ผู้รับประทานจะจดจำ ด้วยการเลือกใช้วัตถุดิบชั้นดีตามฤดูกาล รวมถึงการจัดจานอย่างวิจิตรที่ได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปะไทยโบราณ เสมือนว่าทุกจานเป็นการแสดงของศิลปะไทยบนโต๊ะอาหาร อีกทั้งยังมีบริการระดับพรีเมียม และบรรยากาศการตกแต่งที่งดงาม ทำให้ Royal Osha กลายเป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการสัมผัสอาหารไทยในรูปแบบที่เหนือระดับทั้งทางรสชาติ และอารมณ์

2. เมนูซิกเนเจอร์อาหารไทยไฟน์ไดนิ่งจาก Royal Osha ที่ควรลอง

Fine Dining Cuisine

สำหรับเมนูของร้านอาหารไฟน์ไดนิ่งแบบไทยอย่าง Royal Osha นั้นมีให้เลือกอย่างหลากหลายทั้งแบบ A Lar Carte และแบบ Set Menu อีกทั้งยังมีการปรับเปลี่ยนเมนูในแต่ละช่วงฤดูตามวัตถุดิบแบบ Seasonal ทำให้นักชิมสามารถแวะเวียนมาลิ้มลองเมนูใหม่ๆ แบบไม่ซ้ำได้ตลอดทั้งปี แต่ถึงแม้ว่าเมนูจะมีการเปลี่ยนตามฤดูกาล แต่ว่าก็ยังมีเมนูซิกเนเจอร์ของ Royal Osha ที่นักชิมตัวจริงต้องห้ามพลาด ดังนี้

    • ข้าวแช่ต้นตำรับรอยัล โอชา เป็นเมนูซิกเนเจอร์ที่นักชิมคนไหนได้ลิ้มลองแล้วจะต้องกลับมาซ้ำเป็นประจำทุกปี โดยทำมาจากข้าวหอมมะลิเสาไห้ชั้นดี ลอยในน้ำดอกไม้ไทย ที่มีการเลือกใช้น้ำแร่ที่มีค่า pH 8.8 เพื่อทำการแช่ข้ามคืน ที่จะช่วยสกัดกลิ่นหอมของดอกชมนาดได้อย่างดีเยี่ยม และทำให้ได้กลิ่นน้ำลอยดอกไม้ไทยที่มีความหอมคล้ายคลึงกับดอกมะลิ และใบเตย มาพร้อมกับเครื่องเคียง 7 อย่างตามแบบฉบับของข้าวแช่ชาววัง ได้แก่ ลูกกะปิ, หอมแดงสอดไส้หน้าปลาแห้ง, พริกหยวกสอดไส้หมูสับกับกุ้ง, ไข่แดงเค็มชุบแป้งทอด, หมูฝอยผัดน้ำพริกมะขาม, ปลายี่สนผัดหวาน และหัวไชโป๊วผัดหวาน ที่มาพร้อมกับเครื่องแนมที่เป็นผัก และผลไม้ เช่น กระชาย ต้นหอมม้วน มะม่วงเปรี้ยว และแตงกวา ที่ผ่านการแกะสลักมาอย่างประณีต 
  •  
    • ชุดน้ำพริกต้นตำรับรอยัล โอชา เป็นเมนูซิกเนเจอร์ที่รวบรวมวัตถุดิบคุณภาพพรีเมียม ละเมียดละไมตามวิถีครัวไทยโบราณ พร้อมจัดเสิร์ฟอย่างประณีตตามสไตล์ของ Royal Osha โดยภายในชุดน้ำพริกนั้นจะประกอบด้วยข้าวหอมมะลิ กุ้งแชบ๊วยย่างพร้อมสมุนไพรกรอบ ปลาทูทอดกรอบพร้อมพริกทอด มะเขือยาวชุบไข่ทอด และไข่ทอดชะอม เสิร์ฟคู่กับผักสด ผักลวก และผักแกะสลัก และมีน้ำพริกตำรับพิเศษให้เลือก ไม่ว่าจะเป็นน้ำพริกกะปิ น้ำพริกไข่ปู และน้ำชุบกุ้ง และหลนหมูสับกับกุ้ง ให้ได้เลือกรับประทานกันตามใจชอบ ปิดท้ายด้วยเครื่องดื่มสมุนไพรอย่างน้ำอัญชันมะนาว และชาไทย ที่สามารถช่วยล้างปากในตอนท้ายได้อย่างสมบูรณ์แบบ
  •  
    • หยกมณีสตรอเบอร์รี เป็นเมนูซิกเนเจอร์ของ Royal Osha ที่มาในรูปแบบขนมหวาน และถือว่าเป็นอีกเมนูที่ใครได้ชิมก็ต้องติดใจ ด้วยการนำขนมไทยโบราณอย่างหยกมณีมาผสมผสานกับสตรอเบอร์รีลูกใหญ่ที่มีความหอม หวาน และสดใหม่ โดยเนื้อของหยกมณีนั้นจะมีความนุ่มละมุน มาพร้อมกับถั่วทองบด และห่อหุ้มสตรอเบอร์รีสดอย่างประณีต ทำให้ในทุกคำที่ได้สัมผัสนั้นจะมีทั้งความหอม นุ่ม และหวานฉ่ำ ที่รับประทานแล้วจะสัมผัสประสบการณ์จากขนมไทยรสเลิศ พร้อมกับความสดชื่นของผลไม้ระดับพรีเมียมได้อย่างลงตัว อีกทั้งยังมาพร้อมกับบรรจุภัณฑ์ที่มีความหรูหราพรีเมียม ไม่ว่าจะซื้อรับประทานเอง หรือซื้อเป็นของฝากให้คนสำคัญก็สามารถตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี


ดังนั้น นักชิมคนไหนที่อยากจะเปิดประสบการณ์การรับประทานอาหารไฟน์ไดนิ่งแบบไทย หรืออยากจะสัมผัสความอร่อยของเมนูซิกเนเจอร์จาก Royal Osha ก็สามารถสำรองที่นั่งได้แล้ว วันนี้ ผ่านช่องทาง Line Official : @royalosha หรือผ่านช่องทางต่างๆ ที่สะดวกได้เลย

3. เปิดประสบการณ์การรับประทานอาหารไฟน์ไดนิ่งแบบไทยภายใต้บรรยากาศไทยแท้ที่ Royal Osha

Fine Dining Cuisine

สำหรับบรรยากาศ และการตกแต่งภายในร้านอาหารไทยไฟน์ไดนิ่งอย่าง Royal Osha นั้นจะเป็นแบบไทยๆ ทำให้นักชิมทุกคนสามารถรับประทานอาหารไทยไฟน์ไดนิ่งภายใต้บรรยากาศแบบไทยแท้ ด้วยการตกแต่งภายในห้องอาหารให้มีกลิ่นอายความเป็นไทยในทุกซอกทุกมุม ตั้งแต่ประตูทางเข้า บริเวณเพดาน และผนัง ที่มีการออกแบบที่สะท้อนศิลปวัฒนธรรมไทยในสไตล์วิจิตรโมเดิร์น พร้อมกับทำการเลือกใช้สถาปัตยกรรมโทนสีเข้มตัดกับสีทองจากทองคำบริสุทธิ์แท้ที่แฝงกลิ่นอายของความเป็นไทยไว้ในทุกรายละเอียด อีกทั้งยังมีจิตกรรมฝาผนังบริเวณชั้นลอยที่บอกเล่าเรื่องราวจากวรรณคดีไทยอมตะอย่าง “รามเกียรติ์” และมีการนำภาพจิตกรรมจากรามเกียรติ์ ตอนหนุมานอมพลับพลามาฉายในบริเวณประตูทางเข้าภายนอกในช่วงเวลากลางคืน และจุดเด่นที่สำคัญของบรรยากาศภายในห้องอาหารของ Royal Osha คือ โคมแชนเดอเลียร์รูปชฎาขนาดใหญ่ประดับอัญมณีส่องประกายระยิบระยับ ที่ถือว่าเป็นเอกลักษณ์ของห้องอาหาร นอกจากนั้นก็ยังมีการเลือกใช้โต๊ะ เก้าอี้ จาน ชาม ช้อนส้อม เฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่ง และอุปกรณ์ต่างๆ ที่มีลักษณะ และสีสันที่มีความเป็นไทยที่เข้ากันกับการตกแต่งภายในร้านที่ล้วนแต่ผ่านการดีไซน์มาเป็นอย่างดี ทำให้นักชิมสามารถเพลิดเพลินกับอาหารไทยในรูปแบบของอาหารไฟน์ไดนิ่ง และดื่มด่ำกับบรรยากาศที่เหมือนกับนักชิมกำลังเข้ามาเยี่ยมชมพลับพลาของพระรามที่มีบรรยากาศ และกลิ่นอายของพระราชวังสมัยโบราณ ที่ช่วยสร้างความประทับใจ และเปิดประสบการณ์การรับประทานอาหารไทยแท้ได้อย่างแท้จริง และสำหรับนักชิมคนไหนที่อยากจะลองเข้ามาสัมผัสกับบรรยากาศความเป็นไทย พร้อมกับลิ้มลองอาหารไทยแท้ที่ Royal Osha ก็สามารถสำรองที่นั่งได้ที่ Line Official : @royalosha หรือช่องทางการติดต่อต่างๆ ที่สะดวกได้เลย

4. สัมผัสกับบริการ และประสบการณ์ที่มากกว่าการรับประทานอาหารไฟน์ไดนิ่งที่ Royal Osha

Fine Dining Cuisine

หนึ่งในหัวใจสำคัญที่ทำให้อาหารไฟน์ไดนิ่งแบบไทยนั้นแตกต่างจากการรับประทานอาหารทั่วไป ไม่ได้อยู่เพียงแค่ในรสชาติ หรือการจัดวางจานที่สวยงามเท่านั้น หากแต่อยู่ที่ “การบริการ” อันเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้นักชิมรู้สึกประทับใจตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้าสู่ร้าน จนถึงวินาทีสุดท้ายของมื้ออาหาร ทำให้การบริการในร้านอาหารไทยไฟน์ไดนิ่งเปรียบเสมือนศิลปะที่ต้องใช้ทั้งความเชี่ยวชาญ ความใส่ใจ และความเข้าใจในวัฒนธรรมไทยด้วย

เมื่อนักชิมก้าวเข้าสู่ร้านอาหารไฟน์ไดนิ่งแบบไทย นักชิมจะสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น และอ่อนน้อมตามแบบฉบับไทย ไม่ว่าจะเป็นการกล่าวทักทายด้วยไมตรี การไหว้ การเชื้อเชิญไปยังโต๊ะที่จัดเตรียมไว้อย่างประณีต หรือแม้กระทั่งการแนะนำเมนูด้วยภาษาที่สุภาพ และให้เกียรติ และสิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงมารยาทไทยที่ได้รับการยกระดับในรูปแบบของบริการระดับมืออาชีพ และในการรับประทานอาหารไฟน์ไดนิ่งแบบไทยนั้นพนักงานเสิร์ฟไม่ใช่เพียงแค่ผู้ให้บริการเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็น “ผู้ถ่ายทอดเรื่องราว” ของอาหารแต่ละจาน โดยจะอธิบายรายละเอียดของเมนู ไม่ว่าจะเป็นแรงบันดาลใจ วัตถุดิบ เทคนิคการปรุง และความหมายเชิงวัฒนธรรมเบื้องหลังอย่างลึกซึ้ง และสิ่งเหล่านี้จะช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับจานอาหาร และทำให้นักชิมสามารถเข้าใจความตั้งใจของเชฟมากยิ่งขึ้น รวมถึงการเสิร์ฟอาหารก็จะเป็นไปตามลำดับ ตั้งแต่จานเรียกน้ำย่อย จานหลัก ไปจนถึงของหวาน ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของการจัดมื้ออาหารเท่านั้น แต่ยังคำนึงถึงรสชาติที่มีความต่อเนื่อง เข้ากัน และความพึงพอใจทางอารมณ์ที่เพิ่มขึ้นในแต่ละช่วงเวลาอีกด้วย

ด้วยทุกองค์ประกอบของอาหาร การบริการ การจัดเสิร์ฟ และบรรยากาศนั้นถูกออกแบบเพื่อให้การรับประทานอาหารเป็นมากกว่าแค่ “การกิน” แต่คือ “การดื่มด่ำทางวัฒนธรรม” และทั้งหมดนี้ทำให้บริการในร้านอาหารไฟน์ไดนิ่งแบบไทยไม่ได้เป็นเพียงเบื้องหลังของความหรูหรา แต่คือหัวใจของประสบการณ์ที่นักชิมจะจดจำไม่รู้ลืม

5. สำรองที่นั่ง เพื่อสัมผัสความหรูหราอาหารไฟน์ไดนิ่งแบบไทยแท้ที่ Royal Osha ได้แล้ว วันนี้!

สำหรับนักชิมชาวไทย และชาวต่างชาติที่ชื่นชอบการรับประทานอาหารไทย และกำลังมองหาร้านอาหารไฟน์ไดนิ่งที่มีเมนูอาหารไทยที่มีความครบเครื่อง ครบรสตามแบบฉบับอาหารไทย ที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย ก็สามารถแวะมาได้ที่ “Royal Osha” หนึ่งในร้านอาหารไฟน์ไดนิ่งที่รังสรรค์ทุกเมนูจากเชฟอาหารไทยฝีมือระดับปรมาจารย์แนวหน้าของเมืองไทย ที่ได้ปรุงแต่งทุกเมนูอาหารไทยขึ้นมาด้วยวัตถุดิบตามฤดูกาล และพิถีพิถันในทุกขั้นตอน เพื่อถ่ายทอดความเป็นไทยไว้ในทุกสัมผัสให้นักชิมได้ลิ้มลอง มีบรรยากาศภายในร้านที่มีกลิ่นอายของความเป็นไทยอย่างเต็มเปี่ยม และมีเมนูให้เลือกทั้งแบบ A La Carte และ Set Menu อีกทั้งยังมีเมนูที่ปรุงแต่งขึ้นมาตามวัตถุดิบในแต่ละฤดูกาล ทำให้สามารถตอบโจทย์สไตล์การรับประทานอาหารของทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติได้เป็นอย่างดี เหมาะกับการรับประทานในทุกโอกาส อีกทั้งยังสามารถเดินทางได้ง่าย โดยมีที่ตั้งอยู่บนถนนวิทยุ ซอยร่วมฤดี แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ ดังนั้น นักชิมที่อยากจะแวะมาลิ้มลองรสชาติอาหารไทยที่ร้านอาหารไฟน์ไดนิ่งอย่าง Royal Osha สามารถสำรองที่นั่งล่วงหน้า หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมผ่านช่องทางต่างๆ ได้ ดังนี้

คลิก ที่นี่ เพื่อเข้าสู่หน้า Reservation ของ Royal Osha